“…วันนี้เป็นวันสงกรานต์ หนุ่มสาวชาวบ้านเบิกบานจิตใจจริงเอย ตอนเช้าทำบุญ ทำบุญตักบาตร ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันเอย เข้าวัดแต่งตัว แต่งตัวสวยสะ ไปสรงน้ำพระ ณ วันสงกรานต์กันเอย ตอนบ่ายเราเริงกีฬา เล่นมอญซ่อนผ้า เล่นสะบ้ากันเอย ทำบุญทำทานสนุกสนานกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วรำวงกันเอย…” เพลงคุ้นหูที่เรามักจะได้ยินในช่วงเดือนเมษายน ของทุกปี นั่นก็คือช่วงวันสงกรานต์นั่นเอง เนื้อเพลงนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยต่อประเพณีวันสงกรานต์ได้อย่างเห็นภาพ ShopBack จะพาคุณมารู้จักเทศกาลสงกรานต์ ลึกถึงประวัติประเพณีสงกรานต์ ในเวอร์ชั่นประวัติวันสงกรานต์แบบย่อเข้าใจง่าย ให้มากขึ้นกว่าเดิม ว่ามีที่มาอย่างไร
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในกฎมณเฑียรบาลปรากฏว่า เรามีประเพณีสงกรานต์มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ตราขึ้น และกล่าวถึงพระราชพิธีเผด็จศก เกี่ยวกับการตัดปีหรือการขึ้นปีใหม่ และพิธีกลดแจตร ซึ่งอาจจะมีความหมายคลุมเครือ แต่มีข้อสันนิษฐานหลายที่ว่า เป็นการรดน้ำเดือน 5
เนื่องจากในสมัยโบราณนั้น ไทยได้ใช้การนับวันเวลาเป็นจุลศักราช ดังนั้น การขึ้นปีใหม่จึงเป็นเหมือนการขึ้นจุลศักราชใหม่ ส่วนเรื่องคำว่า ‘สงกรานต์’ มาจากภาษาสันสกฤต (สํ-กรานต) แปลความว่า ก้าวขึ้น ย่างขึ้น กล่าวคือการที่พระอาทิตย์ย่างขึ้นจากราศีหนึ่งไปสู่ราศีใหม่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเดือน ที่เรียกว่าสงกรานต์เดือน เมื่อครบ 12 เดือนแล้วพระอาทิตย์ย่างขึ้นจากราศีมีนไปราศีเมษ ก็จัดเป็นสงกรานต์ปี ซึ่งถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางสุริยคติ (วิธีนับวันและเดือน โดยใช้ตำแหน่งดวงอาทิตย์เป็นหลัก) และนับเป็นมหาสงกรานต์ ที่เป็นสงกรานต์ที่เกิดขึ้น 1 ครั้งต่อปี โดยจะอยู่ที่ประมาณวันที่ 13-14-15 เมษายน ของทุกปี
โดยวันที่ 13 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ คือวันที่พระอาทิตย์โคจรย้ายจากราศีมีนไปราศีเมษ โลกโคจรเป็นมุมตั้งฉากกับพระอาทิตย์จึงมีกลางวัน กลางคืนเท่ากัน
ส่วนวันที่ 14 เมษายน คือวันที่ถัดจากวันมหาสงกรานต์มา 1 วันเรียกว่า วันเนา เป็นวันที่พระอาทิตย์อยู่ประจำคงอยู่ที่ 0 องศา เพื่อตั้งต้นเข้าสู่ราศีใหม่
และวันที่ 15 เมษายน เป็นวันเถลิงศกใหม่ และขึ้นสู่จุลศักราชใหม่ โดยแม้จะมีคลาดเคลื่อนด้านเวลา (ชั่วโมงหรือนาที) แต่ก็มั่นใจได้ว่าวันนี้ พระอาทิตย์ได้เคลื่อนองศาจากเดิมเข้าสู่ราศีใหม่แน่นอน ด้วยวันเวลาที่เปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย จากสมัยโบราณที่นับเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ จึงเปลี่ยนเป็นยึดวันที่ 1 มกราคม ตามหลักสากลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่กระนั้นก็ยังให้วันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่แบบไทยดังเดิม
ShopBack Tips : ช่วงวันสงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นการขึ้นปีใหม่ของไทย การจัดบ้าน จัดห้อง ถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความสะอาดเรียบร้อย ปัดเป่าสิ่งสกปรก ใครที่อยากได้เฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านใหม่ ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า โต๊ะ โซฟา เตียง ฯลฯ จัดวางของตกแต่งชิ้นใหม่ให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อให้สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตแล้วนั้น เราขอแนะนำให้ช้อปอย่างชาญฉลาด รับเงินคืนเพิ่มอีก เมื่อกดสั่งซื้อผ่าน ShopBack ที่ Koncept สั่งออนไลน์ส่งถึงบ้าน ไม่ต้องแบกเองให้เมื่อย แถมได้ส่วนลดและเงินคืนด้วย |
เมื่อพูดถึงประวัติวันสงกรานต์แล้ว จะต้องพูดถึงนางสงกรานต์ด้วย ถึงจะครบถ้วนกระบวนความ สำหรับตำนานนางสงกรานต์เล่าสืบต่อกันมาว่า ในสมัยก่อนพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีอายุเลยวัยกลางคนก็ยังไม่มีบุตร
กระทั่ง นักเลงสุราในละแวกบ้านพูดจาเยาะเย้ยเศรษฐีผู้นั้นว่า แม้มีทรัพย์มาก แต่หากไร้ทายาทไว้สืบสกุล ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ไร้ประโยชน์ ความนี้ทำให้เศรษฐีทุกข์ใจ และจัดพิธีบวงสรวงขอบุตรต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ แต่แม้เวลาจะผ่านไปถึง 3 ปีก็มิได้เกิดบุตรดังที่ปรารถนา จนวันหนึ่งที่เมื่อพระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีก็ได้ยกข้าวสารที่ล้างด้วยน้ำสะอาด 7 ครั้ง แล้วหุงสุก ขึ้นบูชารุกขเทวดาในต้นไทร ด้วยความสงสารต่อเศรษฐี เทวดาในต้นไทรจึงขอพระอินทร์ ทูลขอบุตรให้กับเศรษฐีผู้นั้น
พระอินทร์จึงให้เทพบุตรองค์หนึ่งคือธรรมบาลกุมารเทวบุตร ลงมาเกิดเป็นบุตรของเศรษฐี ซึ่งเป็นเด็กที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถเรียนจบไตรเพทได้ตั้งแต่อายุเพียง 7 ปีเท่านั้น และยังรู้ภาษานกอีกด้วย ความถึงหูของท้าวกบิลพรหม ที่ต้องการจะลองภูมิเด็กผู้นี้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน โดยท่านตั้งปัญหาถามธรรมบาลกุมารว่า
“ข้อที่ 1 เช้าราศีสถิตอยู่แห่งใด
ข้อที่ 2 เที่ยงราศีสถิตอยู่แห่งใด
ข้อที่ 3 ค่ำราศีสถิตอยู่แห่งใด”
หากธรรมบาลกุมารสามารถตอบปัญหาเหล่านี้ได้ภายใน 7 วัน ท่านจะยอมตัดศีรษะของตนออก แต่ถ้าธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ก็ต้องตัดศีรษะตนเองเสีย กาลล่วงเลยถึง 6 วัน แต่ธรรมบาลกุมารก็ยังไม่สามารถหาคำตอบเรื่องนี้ได้ ด้วยความกลัวจึงหลบหนีไปซ่อนตัวใต้ต้นตาล
บนต้นตาลนั้น มีนกอินทรี 2 ตัวพูดคุยกันเรื่องหาอาหารในวันพรุ่งนี้ นางนกถามสามีว่า ‘พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน’ นกสามีตอบว่า ‘พรุ่งนี้ไม่ต้องบินไปไกลหรอก เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ที่จะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เพราะแก้ปัญหาไม่ได้’
นางนกจึงถามต่อไปว่า ‘ปัญหานั้นว่าอย่างไร’ นกสามีจึงตอบว่า ‘ราศีแห่งมนุษย์จะสถิตอยู่ที่ร่างกายต่างวาระกัน คือ เวลาเช้าจะสถิตอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงต้องล้างหน้า – เวลาเที่ยงราศีสถิตอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องประพรมน้ำที่หน้าอก และเวลาค่ำสถิตอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนนอน จึงจะพ้นอัปรีย์จัญไรทั้งปวง’
ธรรมบาลกุมารจึงได้เฉลย นำคำตอบนี้ไปตอบแก่ท้าวกบิลพรหม คำตอบของธรรมบาลกุมารเป็นที่ถูกต้อง ท้าวกบิลพรหมจึงเรียกธิดาทั้ง 7 ของตน อันเป็นบริจาริกา (หญิงรับใช้ของพระอินทร์) มาพร้อมกัน เพื่อสั่งเสียเรื่องการจากไปของตน ซึ่งจะมีเรื่องยุ่งยากมากมายตามมา
เนื่องจาก ตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าตัดแล้ววางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ท้องฟ้าจะแห้งแล้ง ฟ้าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล แต่หากทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำก็จะเหือดแห้ง ดังนั้นจึงสั่งให้ธิดาทั้ง 7 องค์ เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วไปแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วจึงอัญเชิญไปเก็บไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส เมื่อครบกำหนด 365 วัน (โลกสมมุติว่าเป็น 1 ปี) เป็นสงกรานต์ ซึ่งก็หมายถึงการขึ้นปีใหม่ ลูกๆ จึงได้ชื่อว่าเป็น “นางสงกรานต์” ที่มีหน้าที่นำเศียรของท้าวกบิลพรหมแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นประจำทุกปี
ตามประวัตินางสงกรานต์เป็นธิดาของกบิลพรหม และเป็นนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช (สวรรค์ชั้นที่ 1 จากทั้งหมด 6 ชั้น) ซึ่งมีทั้งหมด 7 องค์ ที่จะมาหมุนเวียนทำหน้าที่อัญเชิญเศียรของท้าวกบิลพรหม มาแห่รอบเขาพระสุเมรุและประดิษฐานตามเดิมในทุกๆ 1 ปี หรือในวันมหาสงกรานต์นั่นเอง โดยมีหลักเกณฑ์กำหนดว่า วันมหาสงกรานต์ (วันที่ 13 เมษายน) ตรงกับวันใด ก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้นเป็นผู้แห่ ดังนี้
โดยท่าทางของนางสงกรานต์จะกำหนดตามเวลาที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าสู่ราศีเมษ หรือเวลามหาสงกรานต์ตามที่คำนวณได้ ซึ่งเกณฑ์ในการกำหนดท่าทางของนางสงกรานต์ มีดังนี้