"อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์มาเล่าสู่กันฟัง อยุธยาแต่ก่อนนี้ยัง เป็นดังเมืองทองของพี่น้องเผ่าพงศ์ไทย" พอฟังเพลงนี้นึกถึงอยุธยาจังแฮะ บ้านเมืองเมื่อครั้งก่อนนู้นคงงดงามน่าดูชมแน่ๆ เลย เพราะนี่ขนาดของเก่านะยังดูอลังการเลยอ่ะ เอาล่ะหยุดสองวันไปไหนดีนะ ไปตะลุยเที่ยวเมืองเก่ากันดีกว่า
พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ กันแต่เช้าเชียว อยากมีเวลาเยอะๆ จะได้เดินเที่ยวชิวๆ กันหน่อย จุดหมายแรกที่เราจะเดินทางไปนั่นก็คือ "ตลาดน้ำอโยธยา" เห็นใครๆ ก็มาเที่ยวกันจังไหนไปดูกันหน่อยสิว่าที่นี่มีอะไร
พอหาที่จอดรถได้ก็ลงเดินกันเลย โอ้โห .. ทำไมคนเยอะอย่างนี้ล่ะ เยอะทั้งคนเยอะทั้งร้านค้า เรียกว่าหาซื้อได้กันพร้อมสรรพทั้งขนมทั่วแคว้นแดนไทย ของที่ระลึกเก๋ๆ นานาชนิด แตกต่างกันที่ไอเดียใครเจ๋งกว่ากัน พอเดินได้สักพักชักลา ลงเรือนั่งชมได้อีกด้วย
ชอบตรงนี้แหละ เหนื่อยแล้วนั่งเรือชมวิวได้ อยากลงตรงไหนก็ลงได้ เค้ามีให้ลงเป็นจุดๆ ประหยัดแรงดีอ่ะ
พอนั่งเรือเสร็จแล้วไม่อยากเดินแล้วอ่ะ ไปหาที่เที่ยวเย็นๆ มั้งดีกว่า จิ้มน้องอุ่นใจ (GPS คู่กาย) มีหมู่บ้านญี่ปุ่น เออน่าสนใจดีแฮะไปแวะหน่อยแล้วกัน
ค่าเข้าชมคนละ 50 บาทแต่ขอบอกว่าคุ้มจริงๆ เพราะนอกจากแอร์จะเย็นแล้ว อิอิ ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ใครไม่เคยเห็นแผนที่ยูเดียอันใหญ่มาก ลองมาที่นี่ดู แล้วจะรู้ว่ามันมีอะไรในหมู่บ้านญี่ปุ่นแห่งนี้
แผนที่นี้เป็นภาพวาดสีน้ำมัน วาดโดย ดาวิดและโยฮันเนส วิงโบนส์ ชาวฮอลันดา เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๐๖ ตรงกับสมัยพระนารายณ์ มีขนาด 97 x 140 เซนติเมตร สันนิษฐานว่าเคยแขวนประดับอยู่ที่ห้องประชุม Heren XVII ภายในอาคารอินเดียตะวันออก ของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไรคส์มิวเซียม กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งต้องบอกว่าแผนที่ใบนี้มีความละเอียดและงดงามมากๆ เลยล่ะ
พอออกจากห้องจัดแสดงก็สามารถเดินเล่นในสวนแบบญี่ปุ่นริมน้ำ เย็นๆ ดีอ่ะ จากนั้นเจ้าหน้าที่ที่นี่แนะนำว่า ไปเที่ยวตลาดโก้งโค้งกันมาหรือยังอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นะ แหม .. เกริ่นมาขนาดนี้มีหรือจะพลาด
ที่นี่เน้นขายสินค้าพื้นบ้านเป็นหลัก อารมณ์โอท็อปของแท้แตกต่างกับตลาดอโยธยาเลยล่ะ ที่จอดรถกว้างขวางแต่ผู้คนยังไม่เยอะเดินกันสบายเชียว ก็มาเที่ยวกันหน่อยอุดหนุนชาวบ้านแถวนี้ เค้ามีประวัติความเป็นมาของชื่อตลาดด้วยนะ สงสัยล่ะสิ มีคำตอบมาฝากจ้า "ในสมัยกรุงศรีอยุธยาในฐานะราชธานีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรืองของไทยมายาวนานถึง ๔๑๗ ปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวมีประวัติศาสตร์เกิดขึ้นมากมาย อยุธยามีลักษณะที่ผสมผสานทั้งอาณาจักรในแผ่นดินและอาณาจักรทางทะเล ทำให้สามารถค้าขายกับต่างประเทศได้สะดวก อยุธยาเป็นเมืองท่าและศูนย์การพาณิชย์ระดับนานาชาติ เป็นแผ่นดินทองของการค้าเปรียบเป็น "เวนิชตะวันออก" ซึ่งการค้าทางทะเลนี้นำรายได้มหาศาลมาสู่กรุงศรีอยุธยา "ด่านขนอนหลวง" เป็นสถานที่ที่เคยเป็นด่านเก็บภาษีสินค้าที่มากับเรือทางทะเล และยังเป็นที่ชุมนุมซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวไทยและชาวต่างชาติ จนกลายเป็นตลาดโบราณที่คนขายจะนั่งขายสินค้าอยู่บนพื้นแบบไม่ถือตัว ส่วนคนซื้อก็อ่อนน้อมถ่อมตนโดยโน้มตัวลงไปเพื่อเลือกสินค้า เป็นภาพการซื้อขายที่แสดงถึงความอ่อนโยน และเต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรีของคนไทยสมัยก่อน ซึ่งไม่มีชนชาติใดเหมือน จนเกิดเป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกกันว่า "ตลาดโก้งโค้ง" ตลาดแห่งนี้อยู่คู่กับกรุงศรีอยุธยามาเป็นเวลานาน จวบจนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ภาครัฐและเอกชนชาวพระนครศรีอยุธยา จึงได้ฟื้นฟูให้ภาพของตลาดโก้งโค้ง ด่านขนอนเดิมได้ฟื้นกลับมาเป็นวิถีชีวิตจริงให้เกิดเป็นภาพปัจจุบันขึ้นมาในบริเวณพื้นที่ "ตลาดโก้งโค้งบ้านแสงโสม" เพื่อให้ทุกคนที่ได้มาพบเห็นได้จารึกว่า ภาพนี้เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ควรจดจำอีกภาพหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา"
นี่ก็สามโมงกว่าแล้ว อีกสักตลาดก็แล้วกันไหนๆ ก็มาแล้วไม่ไปตลาดคลองสระบัวได้อย่างไร ไปๆๆ ตามไปดูต่อกันค่ะ
ตลาดแห่งนี้อยู่ใกล้กับวัดจงกลมจากที่จอดรถก็เดินเข้ามาตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ ตอนแรกก็แปลกใจทำไมตลาดนี้ดูลึกลับยังไงชอบกล แต่พอเดินเข้ามาเรื่อยๆ จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตลาดแห่งนี้พอสมควรเลยล่ะ อัตราค่าเข้าชมตลาดก็คนละ ๕๐ บาทสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนเด็กโตก็คนละ ๒๕ บาท เด็กเล็กฟรีไม่เสียค่าเข้าชม
ไฮไลท์อยู่ที่การแสดงกลางน้ำนี่แหละ เวทีอยู่กลางน้ำกันเลย รำไปย้ำน้ำไปเก๋ไก๋ไม่หยอก ส่วนรอบๆ ก็เป็นร้านอาหารนานาชนิด ชมไปทานกันไปเพลินๆ ดีเหมือนกัน
พวกเรามาทันการแสดงพอดิบพอดี ซึ่งพอชมเสร็จก็กลับเลย เพราะนัดเข้าที่พักไว้ตั้งแต่เที่ยงเลสมาจะเย็นแล้ว ทริปนี้เราจะพักกันที่ "อโยธาราวิลเลจ" ไม่น่าเชื่อดันกลายเป็นรีสอร์ทของคนกันเองซะงั้นอ่ะ
เข้าเช็คอินถึงได้รู้ว่าเป็นรีสอร์ทของคุณลูกค้ามาเปิดกิจการไว้ ภายในประกอบด้วยบ้านเรือนไทยหลายหลัง เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้หมดเลยได้อารมณ์มานอนกรุงเก่ามากๆ
ไหนๆ ก็เข้ากันมาเย็นแล้วก็ทานข้าวเย็นกันที่นี่เลย รสชาติอาหารอร่อยเชียว มีหลายเมนูที่น่าทานอ่ะ แต่ชอบสุดๆ คงจะเป็นเมี่ยงปลานี่แหละ
แล้วคืนแรกก็ผ่านไป เช้าวันที่สองของการเดินทาง ที่โรงแรมเค้ามีบริการตักบารตด้วย ตื่นกันแต่เช้าเลยพวกเรา เอ้า.. นานๆ ตักบารตทีพลาดได้อย่างไร พระท่านพายเรือมารับบาตรถึงหน้าโรงแรมเลยทีเดียว
ตื่นเช้าขนาดนี้นอนไม่หลับแล้วอ่ะ เจ้าหน้าที่เลยบอกว่าไปดูช้างอาบน้ำได้นะคะ ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ ปั่นจักรยานไปได้นะ เหอๆๆ หน้าอย่างช้านหรือจะปั่นจักรยาน ขี้เกียจปานนี้ขับรถไปดีฝ่า เจอแล้วน้องช้างอาบน้ำ แหม.. ลงไปจมทั้งตัวเลยเหอะ
ดูกันได้สักพักก็กลับที่พักนอนต่อดีฝ่าอากาศดีซะขนาดนี้ ตื่นมาอีกทีเที่ยง .. มาพักผ่อนต้องนอนเยอะๆ อิอิ เช็คเอ้าท์ออกก็ราวๆ บ่ายแหละ จากนั้นก็ไปเที่ยวในเมืองกันต่อ จุดหมายต่อไปคือ "วัดราชบูรณะ" ค่าเข้าชมก็คนละ ๑๐ บาท ประวัติของวัดแห่งนี้เล่าว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) เมื่อเสวยราชสมบัติแล้วจึงโปรดให้ก่อพระเจดีย์ ๒ องค์ สวมทับตรงที่เจ้าอ้ายกับเจ้ายี่ทรงชนช้างกันถึงแก่พิราลัยและให้สถาปนาพระมหาธาตุและพระวิหารเป็นพระอารามแก้วพระราชทานนามว่าวัดราชบูรณะ เมื่อคราวเสียกรุงวัดนี้และวัดมหาธาตุได้ถูกไฟไหม้เสียหายมาก ซึ่งเหลือเจดีย์วิหารที่เหลืออยู่ ปรางค์ยังสมบูรณ์ทั้งองค์และวิหารยังมีเสาและผนังเหลืออยู่ลวดลายปูนปั้นที่ประดับปรางค์ทำเป็นรูปครุฑจับนาคและมีเจดีย์รายรอบปรางค์ยังเหลือพอดีเป็นรูปแบบได้อีกหลายองค์
จากนั้นก็ขับรถไปยังวัดมหาธาตุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไหร่ วัดนี้เป็นพระอารามหลวงที่ประดิษฐานพระบรมสาริริกธาตุ เป็นศูนย์กลางของเมืองในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในพระราชพงศาวดารระบุว่า องค์พระศรีรัตนมหาธาตุเริ่อก่อสร้างในปี พ.ศ. ๑๙๑๗ ในสมัยขุนหลวงพระงั่ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ภายในวัดแห่งนี้ยังมีจุดสนใจอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่หากได้มาอยุธยาแล้ว จะต้องมาแวะชมสิ่งมหัศจรรย์ที่นี่นั่นก็คือ เศียรพระพุทธรูปหินทราย (The head of the sandstone buddha image)
หิวแล้วอ่ะ ไปหาอะไรใส่ท้องกันดีกว่า ไม่มีแผนในใจเล้ย ขับไปเรื่อยๆ แล้วกัน จนมาเจอ "ร้านก๊วยเตี๋ยวผักหวาน" โอ้.. คนเยอะจังอร่อยแน่นอนะอ่ะ ร้านนี้อยู่หน้าวัดสุวรรณดาราราม
มาถึงที่ก็ต้องสั่งก๋วยเตี๋ยวผักหวานพร้อมผัดไทย เพราะดูจากทุกโต๊ะแล้วสั่งกันเป็นเมนูหลักเลย และก็ไม่แปลกใจเพราะของเค้าอร่อยจริงๆ เมนูประเภทยำก็รสเจ็บได้ใจอ่ะ ของทานเล่นเช่นเห็ดทอดก็กรอบอร่อย มาร้านนี้ขอบอกว่าห้ามพลาดนะจ๊ะ
ทานกันเสร็จไปไหนต่อดีล่ะ หมู่บ้านโปรตุเกสแล้วกัน เมื่อวานเห็นอยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้านญี่ปุ่น ไปดูกันว่าแล้วหมู่บ้านโปรตุเกสมีอะไรนะ
กรี๊ด.. เอ้ยทำไมเงียบจังฟ่ะ พอเข้าไปข้างใน อืม..เข้าใจล่ะว่าทำไมคนเงียบจัง ก็แหม.. ข้างในเค้ามีแต่โครงกระดูกบานทุ่งเลย เผ่นดีฝ่าเรา
จากหมู่บ้านโปรตุเกสจิ้มน้องอุ่นใจ มีป้อมเพชรอยู่แถวๆ นี้ ไปนี่ล่ะกัน ดูเหมือนที่นี่จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวอยุธยาเค้าล่ะมั้ง
ป้อมเพชรเป็นป้อมที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญที่สุดในจำนวน ๑๖ ป้อมที่อยู่รอบพระนคร เนื่องจากทำหน้าที่ในการป้องกันข้าศึกที่มาทางน้ำตรงมุมพระนครด้านตะวันออกเฉียงใต้ ในบริเวณที่แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาและไหลออกสู่อ่าวไทย ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมและจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญสำหรับการติดต่อระหว่างโลกภายนอกกับกรุงศรีอยุธยา ขอบอกว่าที่นี่ตอนนี้เหมือนเป็นสวนสาธารณะไปแล้วล่ะ เพราะด้วยความที่เป็นมุมที่เห็นแม่น้ำสองสายมาบรรจบกันแล้ว ที่นี่ยังเห็นวัดพนัญเชิงด้วยล่ะ มิน่าล่ะผู้คนจึงนิยมมานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่นี่
พวกเรานั่งชมวิวกันได้สักพักก็เดินทางกลับดีกว่า เข้ากรุงเทพฯ ก็สองทุ่มพอดิบพอดี หากใครมีเวลาว่างๆ ลองมาเที่ยวอยุธยาเมืองเก่ากันดูนะคะ แล้วจะรู้ว่าเมืองเก่าแห่งนี้มีเสน่ห์อย่างไร ...
https://www.tatcontactcenter.com/th